ระบบประสานงานการตรวจวิเคราะห์และเฝ้าระวังโรคไข้หวัดนกทางห้องปฏิบัติการแห่งชาติ

บรรยายโดย นายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ

      การระบาดของโรคไข้หวัดนก (Avian influenza) เริ่มต้นครั้งแรกในประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. 2547 และมีการระบาดต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน หากไม่มีการตรวจจับหรือการเฝ้าระวังที่มีประสิทธิภาพ ปัญหาการระบาดของโรคไข้หวัดนกอาจพัฒนาเป็นปัญหาการระบาดใหญ่ของโรคไข้หวัดใหญ่ (Pandemic influenza)

         กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้พัฒนาและดำเนินการ “ระบบประสานงานการตรวจวิเคราะห์และเฝ้าระวังโรคไข้หวัดนกทางห้องปฏิบัติการแห่งชาติ” ด้วยหลักแนวคิดที่ว่า ทำอย่างไรถึงสามารถตรวจจับการระบาดของโรคไข้หวัดนกได้เร็วที่สุด รวมถึงทราบว่าเชื้อไวรัสไข้หวัดนกมีการกลายพันธุ์หรือไม่ ซึ่งจะส่งผลต่อการควบคุมป้องกันโรคไข้หวัดนก และการระบาดใหญ่ของโรคไข้หวัดใหญ่ (Pandemic Influenza) ให้มีประสิทธิภาพ โดยศูนย์ประสานงานการตรวจวิเคราะห์และเฝ้าระวังโรคทางห้องปฏิบัติการ เป็นผู้ประสานงานหลัก ทำงานร่วมกับ WHO National Influenza Center ฝ่ายไวรัสระบบทางเดินหายใจ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ทั้ง 13 แห่ง ของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ หน่วยงานควบคุมโรคทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค โรงพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงภาควิชาจุลชีววิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ช่วยตรวจวิเคราะห์ยืนยันผลซึ่งกันและกัน การพัฒนาและดำเนินการได้ให้ความสำคัญตั้งแต่ขั้นตอนการเก็บตัวอย่างจากผู้ป่วย การนำส่ง ตัวอย่าง ขั้นตอนการตรวจวิเคราะห์ การรายงานผลเบื้องต้นและการยืนยันผล โดยทุกขั้นตอนต้องดำเนินการอย่างถูกต้อง มีคุณภาพ และสิ่งสำคัญคือสามารถลดระยะเวลาดำเนินการให้ได้มากที่สุด

         ระบบมีการกำหนดกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ การประสานงานโดยเน้นการทำงานในลักษณะเครือข่าย การฝึกอบรมบุคลากรที่เกี่ยวข้อง (ขณะนี้มีผู้รับการฝึกอบรมผ่านระบบมากกว่า 7,000 คน) รวมถึงได้ผลิตสื่อการสอนผ่านตำราเรียน วีซีดี และสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศ พบว่าในขั้นตอนการเก็บตัวอย่างจากผู้ป่วยและการนำส่งตัวอย่าง มีความถูกต้องและได้ตัวอย่างที่มีคุณภาพดีขึ้น (p < 0.05) สำหรับวิธีการตรวจวิเคราะห์ WHO National Influenza Center กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้พัฒนาวิธีตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัสไข้หวัดนกด้วยวิธี PCR (Polymerase Chain Reaction) โดยใช้วิธีการตรวจที่แตกต่างกันมากกว่า 1 วิธี ค่าความไว (Sensitivity) ร้อยละ 100 ความจำเพาะ (Specifity) ร้อยละ 99.8 (n = 6,000) มีค่าพยากรณ์บวกและลบที่สูงมาก (High Positive and Negative Predictive Value) ในรายที่มีปัญหาจะทำการตรวจยืนยันซ้ำด้วย วิธี Real-Time RT-PCR, วิธี Conventional RT-PCR, วิธี Sequencing โดยพิจารณาใช้ Primer ที่แตกต่างกัน และหลายเทคนิคผสมผสานกัน รวมถึงมีการตรวจยืนยันด้วยวิธีมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก (Viral isolation and IFA) และส่งตัวอย่างไปยืนยันที่ห้องปฏิบัติการอ้างอิงในเครือข่ายขององค์การอนามัยโลก ในการระบาดรอบที่ 3 และ 4 พบการระบาดรุนแรงในบางจังหวัด กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้พัฒนารถห้องปฏิบัติการชันสูตรเคลื่อนที่ (Mobile lab) จำนวน 2 คัน เพื่อลดระยะเวลาในการส่งตัวอย่างสิ่งส่งตรวจของผู้ป่วย จากการพัฒนาระบบสามารถลดระยะเวลาเฉลี่ยตั้งแต่เก็บตัวอย่างจนกระทั่งถึงห้องปฏิบัติการ (46 ชั่วโมง ลงเหลือ 22.5 ชั่วโมง) อีกทั้งยังสามารถลดระยะเวลาการตรวจวิเคราะห์ลงได้อีก (24 ชั่วโมง ลงเหลือ 15 ชั่วโมง) และในกรณีรถ Mobile lab สามารถลดระยะเวลาการเดินทางของตัวอย่าง (7 ชั่วโมง ลงเหลือ 1 ชั่วโมง) รวมถึงในรายที่เร่งด่วนสามารถทราบผลการตรวจวิเคราะห์เบื้องต้นได้ภายใน 8 ชั่วโมง นอกจากนี้ ระบบได้มีการสนับสนุนหน่วยปฏิบัติการพิเศษในการเก็บวัตถุตัวอย่างในรายที่มีปัญหาการวินิจฉัย เช่น การเก็บตัวอย่างเพิ่มเติม การตรวจชันสูตรพลิกศพ

         ระบบจะรายงานผลทั้งในกรณีเร่งด่วนและในกรณีปกติอย่างมีประสิทธิภาพ มีระบบรายงานผลทันทีที่ทราบผลการตรวจวิเคราะห์ โดยจะรายงานกลับไปยัง แพทย์ผู้รักษาผู้ป่วย โรงพยาบาล สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค หน่วยงานควบคุมโรคในระดับพื้นที่ เช่น สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด สำนักงานป้องกันควบคุมโรคเขต โดยรายงานผ่านระบบโทรสารไปยังทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ยังมีการรายงานผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ และมีการให้บริการ Call center ตลอด 24 ชั่วโมง เว็ปไซต์ที่พัฒนาขึ้นมีการเชื่อมโยงไปยังเครือข่ายเว็ปไชต์ที่เกี่ยวข้องกับโรคไข้หวัดนกและไข้หวัดใหญ่ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ มีข้อมูลการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการ องค์ความรู้เกี่ยวกับโรคไข้หวัดนกและไข้หวัดใหญ่จากแหล่งข้อมูลทั่วโลก



 

<<back